โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างฮีโมโกลบิน ในอดีตวิธีการตรวจพาหะธาลัสซีเมียที่ให้ผลถูกต้อง คือ วิธีพีซีอาร์ ที่ใช้การตรวจดีเอ็นเอ แต่เนื่องจากมีความยุ่งยากและต้นทุนสูง จึงได้มีการพัฒนาวิธีการผลิตน้ำยาหรือแอนติบอดี ที่มีความจำเพาะต่อฮีโมโกลบินบาร์ตที่พบในตัวอย่างเลือดของบุคคลที่เป็นพาหะอัลฟาธาลัสซีเมีย และไม่ทำปฏิกิริยากับฮีโมโกลบินชนิดอื่นๆ ผลตรวจมีความถูกต้อง 100% ใช้เวลาเพียง 3 นาที ไม่ต้องใช้เครื่องมืออื่นใด ไม่ต้องการบุคลากรที่มีความชำนาญสูงในการวิเคราะห์
เทคโนโลยีนี้ได้ถ่ายทอดให้กับ บริษัท ไอเมดลาบอราทอรี่ จำกัด ดำเนินการผลิตและจำหน่าย ในชื่อทางการค้า i+LAB αTHAL
ฮีโมโกลบินอี (HbE) เป็นฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดหนึ่งที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ การพบ HbE ร่วมกับภาวะอัลฟาธาลัสซีเมีย และ เบตาธาลัสซีเมีย ก่อให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง β-thalassemia/HbE ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดและต้องได้รับการดูแลตลอดชีวิต ผู้เป็นหาหะจะไม่แสดงอาการ แต่สามารถถ่ายทอดความผิดปกติไปยังลูกหลานได้ ซึ่งจะไม่สามารถทราบว่าตนเองเป็นพาหะได้เว้นแต่จะตรวจเลือด
ชุดน้ำยา AMS-HbE Tube Kit สามารถใช้ตรวจคัดกรองฮีโมโกลบินอี (HbE carrier หรือ HbE heterozygous) สามารถดำเนินการได้ง่าย ไม่ซับซ้อน อ่านผลด้วยตาเปล่าในระยะเวลาสั้น ไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน ไม่ต้องใช้เครืองมือซับซ้อนใช้เพียงเครื่องปั่นเหวี่ยง (centrifuge) ราคาถูก สามารถทดสอบหลายตัวอย่างในหนึ่งครั้ง และสามารถใช้นอกสถานที่ได้
เทคโนโลยีนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอนุญาตใช้สิทธิกับภาคเอกชนไทย
การติดเชื้อซ้ำด้วยไวรัสเด็งกี่ที่ต่างซีโรทัยป์กันกับครั้งแรก เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรงได้ ดังนั้นการทราบซีโรทัยป์ของไวรัสเด็งกี่ที่ติดเชื้อในผู้ป่วย จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในเชิงของระบาดวิทยา และการวางแผน ดูแล และให้การรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยลดอัตราการสูญเสียจากอาการเจ็บป่วย และเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกได้ วิธีการตรวจแยกซีโรทัยป์ของไวรัสเด็งกี่ที่ใช้กันในปัจจุบัน ใช้วิธีทำ RT-PCR หรือการเพาะเชื้อไวรัสเด็งกี่ในเซลล์เพาะเลี้ยง ซึ่งมีความซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีต้นทุนสูง
ชุดตรวจโปรตีน NS1 ของไวรัสเด็งกี่ที่แยกซีโรทัยป์ได้ทันทีนี้ สามารถลดข้อด้อยของเทคนิคที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ และเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ในผู้ป่วยไข้เลือดออก ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้ทันทีในการดำเนินการรักษา หรือให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงของโรค จนถึงขั้นช็อคและเสียชีวิต นอกจากนี้ การทราบซีโรทัยป์ของไวรัสเด็งกี่ในผู้ป่วยในขณะที่เกิดการระบาดของโรคในระยะเวลาต่างๆ จะมีส่วนช่วยให้ภาครัฐวางแผนรับมือกับโอกาสที่จะเกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออกได้
เทคโนโลยีนี้เปิดรับผู้ประกอบการที่สนใจขออนุญาตใช้สิทธิหรือร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี สวทช.
คณะนักวิจัยไทยประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมมาใช้ตัดต่อยีนเชื้อไวรัสเด็งกี่ 4 ชนิด และสร้างไวรัสพันธุ์ผสมขึ้นมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชื้อไวรัสเดิมที่มีฤทธิ์รุนแรงให้อ่อนฤทธิ์ลง จนพัฒนาเป็นชุดวัคซีนทดสอบชนิดเชื้อตัวเป็นอ่อนฤทธิ์ลูกผสมครบทั้ง 4 ชนิด (ซีโรทัยป์) ซึ่งคณะนักวิจัยที่ร่วมพัฒนาชุดวัคซีนทดสอบนี้ประกอบด้วยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล และหน่วยปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์ โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สวทช.
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ได้รับสิทธิในการนำชุดวัคซีนทดสอบชนิดเชื้อตัวเป็นอ่อนฤทธิ์ลูกผสมไปพัฒนาต่อเป็นวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป
มาลาเรียเป็นโรคติดต่อในเขตร้อนเกิดจากเชื้อปรสิตตระกูลพลาสโมเดียม ปัญหาสำคัญของการรักษาโรคมาลาเรียเกิดจากการที่เชื้อมาลาเรียดื้อต่อยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการพัฒนายารักษาโรคมาลาเรียชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อมาลาเรียที่ดื้อยาได้
ทีมนักวิจัยไบโอเทค ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ ได้ทำการวิจัยและพัฒนายาต้นแบบจากองค์ความรู้ของการวิจัยพื้นฐาน โดยมุ่งเป้าเพื่อการพัฒนายาต้นแบบที่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไดไฮโดรโฟเลทรีดักเทส ไธมิไดเลทซีนเทส (Dihydrofolate reductase-Thymidylate synthase, DHFR-TS) ของเชื้อปรสิต จนสามารถประสบความสำเร็จในการค้นพบยาต้นแบบ P218 ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อมาลาเรียทั้งสายพันธุ์ที่ไวต่อยาและดื้อต่อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยาต้นแบบ P218 ได้รับเลือกและรับทุนจากองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร Medicines for Malaria Venture (MMV) พัฒนาเป็นยาต่อไป โดยปัจจุบันอยู่ในระดับ pre-clinical trial
ระบบอัตโนมัติสำหรับแปลการวินิจฉัยธาลัสซีเมียนี้เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่แปลงสัญญาณจากการพิมพ์จากเครื่องตรวจชนิดฮีโมโกลบินให้อยู่ในรูปสัญญาณที่สามารถนำไปประมวลผลในระบบอัตโนมัติได้ โดยการต่อพ่วงกับเครื่องตรวจยืนยันระบบลูกสูบความดันต่ำ (LPLC) โดยใช้ผลของเครื่องตรวจยืนยันระบบลูกสูบความดันต่ำ (LPLC) ร่วมกับข้อมูลค่าดัชนีเม็ดเลือดแดงและร้อยละของปริมาณฮีโมโกลบิน โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำงานเพื่อรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ ผ่านระบบอัตโนมัติ ซึ่งทำให้การตรวจวินิจฉัยของแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
บริษัท Drew (Thailand) ได้รับอนุญาตสิทธิในจำกัด ดำเนินการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์นี้ร่วมกับเครื่อง LPLC
ชุดตรวจหาเชื้อวัณโรค TB DNAsensor Kit สามารถตรวจหาเชื้อวัณโรคได้ภายในเวลาที่รวดเร็ว ให้ผลการตรวจที่มีความไวและความจำเพาะสูง และสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในห้องปฏิบัติการ และภาคสนาม โดยนักวิจัยได้พัฒนาชุดตรวจออกมาใน 2 รูปแบบ ได้แก่ TB DNAsensor Kit I เป็นชุดตรวจที่ใช้เทคนิค Loop-mediated isothermal amplification (LAMP) ผนวกกับ Lateral flow dipsticks ในขณะที่ชุดตรวจ TB DNAsensor Kit II เป็นชุดที่ใช้เทคนิคการทำปฏิกิริยาระหว่าง gold nanoparticle กับดีเอ็นเอเป้าหมาย (specific target DNA)
ชุดตรวจหาเชื้อวัณโรค เป็นผลงานร่วมวิจัยระหว่างคณะนักวิจัย คณะแพทยศาสตร์ และสำนักนวัตกรรมการเรียนรู้ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กับนักวิจัยไบโอเทค เทคโนโลยีนี้เปิดรับผู้ประกอบการที่สนใจขออนุญาตใช้สิทธิ โดย สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ไบโอเทคได้พัฒนาตรวจเชื่อมาลาเรีย ซึ่งใช้เทคนิค “LAMP-LFD” สำหรับการตรวจหาเชื้อมาลาเรีย พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม และ พลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ในตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยโรคมาลาเรีย เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่าย และสามารถนำไปใช้ทดสอบในพื้นที่จริงที่มีการระบาดได้ทันที โดยเทคนิคแลมป์ (LAMP) เป็นการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้อุณหภูมิเดียว (60-65 องศาเซลเซียส) และเทคนิค lateral flow dipstick (LFD) เป็นเทคนิคการใช้แผ่นจุ่มวัดแบบง่าย จึงทำให้สามารถอ่านผลได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ชุดตรวจนี้ใช้เวลาในการตรวจรวมทั้งสิ้นเพียง 55 นาที ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์หรือเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพง และไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
เทคโนโลยีนี้เปิดรับผู้ประกอบการที่สนใจขออนุญาตใช้สิทธิหรือร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี สวทช.